วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2559

พบดาวเคราะห์น้อยจากเมฆออร์ต

 

พบดาวเคราะห์น้อยจากเมฆออร์ต

15 พ.ค. 2559 รายงานโดย: วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
นักดาราศาสตร์พบวัตถุดึกดำบรรพ์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะ
มันคล้ายดาวเคราะห์น้อย แต่มีเส้นทางโคจรแบบดาวหาง แล้วมันก็คล้ายจะมีหาง แต่ก็น้อยเกินกว่าจะเป็นดาวหาง

วัตถุดวงนี้คือ ซี/2014 เอส (แพนสตารรส์) ค้นพบในปี 2557 โดยกล้องแพน-สตารรส์  ในขณะนั้นอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณสองเท่าของระยะทางระหว่างดวงอาทิตย์ถึงโลก โดยถูกระบุชนิดว่าเป็นดาวหางที่มีอันตรกิริยาอ่อน  มีวงโคจรรีมาก โคจรรอบดวงอาทิตย์รอบหนึ่งใช้เวลาประมาณ 860 ปี วงโคจรที่รียาวเช่นนี้บ่งบอกว่ามีต้นกำเนิดมาจากเมฆออร์ต และเพิ่งถูกแรงรบกวนจากภายนอกเบี่ยงวงโคจรให้เข้ามาในระบบสุริยะชั้นในได้



เมฆออร์ต เป็นบริเวณรอบนอกของระบบสุริยะ เป็นที่อยู่ของวัตถุประเภทน้ำแข็งจำนวนมากซึ่งเป็นวัตถุต้นกำเนิดดาวหางคาบยาว บางคนจึงเรียกเมฆออร์ตว่าดงดาวหางออร์ต การที่ ซี/2014 เอส (แพนสตารรส์) มีทิศทางมาจากเมฆออร์ต ก็น่าจะเชื่อว่าเป็นดาวหาง แต่นักดาราศาสตร์สังเกตว่าวัตถุดวงนี้ออกจะไม่ธรรมดา เพราะมีสมบัติหลายอย่างไม่เหมือนดาวหางคาบยาวทั่วไปที่เข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ การวัดสเปกตรัมพบว่ามีสเปกตรัมคล้ายดาวเคราะห์น้อยชนิดเอส ซึ่งเป็นดาวเคราะห์น้อยที่พบได้ทั่วไปบริเวณแถบดาวเคราะห์น้อยหลัก และดูเหมือนว่าเนื้อของวัตถุดวงนี้ผ่านการแปรสภาพมาเพียงน้อยนิด แสดงว่าต้องผ่านการแช่แข็งมาเป็นเวลานานมาก อย่างไรก็ตามยังมีความคล้ายดาวหางอีกอย่างหนึ่งคือ มีการระเหิดของน้ำแข็งบ้าง แต่เกิดขึ้นในระดับอ่อนกว่าที่เกิดกับดาวหางคาบยาวที่อยู่ระยะห่างจากดวงอาทิตย์เท่ากันนี้ถึงราวหนึ่งล้านเท่า

คาเรน มีช จากสถาบันดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาวาย สันนิษฐานว่า ซี/2014 เอส (แพนสตารรส์) มีต้นกำเนิดในยุคเดียวกับที่โลกกำเนิดขึ้นมา แต่ได้ย้ายวงโคจรออกไปไกลถึงเมฆออร์ต แล้วต่อมาจึงได้เบี่ยงทิศทางเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์อีกครั้ง นับว่าเป็นวัตถุหินจากเมฆออร์ตก้อนแรกที่มีการค้นพบ

หากเป็นเช่นนั้นจริง วัตถุดวงนี้จะมีความสำคัญเยี่ยงวัตถุโบราณที่เก็บงำความลับของอดีตกาลเกี่ยวกับต้นกำเนิดระบบสุริยะ

เรารู้จักดาวเคราะห์น้อยมากมาย แต่ดาวเคราะห์น้อยทั้งหมดอยู่ในเขตระบบสุริยะชั้นใน จึงถูกแสงอาทิตย์แผดเผามาเป็นเวลานับพันล้านปี ส่วนวัตถุดวงนี้ได้ไปอยู่ในเมฆออร์ตตั้งแต่ยุคแรก จึงเป็นเหมือนการหยุดเวลาไว้ เรียกได้ว่าเป็นดาวเคราะห์น้อยดิบ สมบัติต่างๆ ในตัวมันจึงถูกเก็บรักษาไว้เหมือนเพิ่งเริ่มเกิด วัตถุตั้งต้นที่ก่อกำเนิดดาวเคราะห์ต่าง ๆ รวมถึงโลกอาจมีลักษณะแบบเดียวกับ ซี/2014 เอส (แพนสตารรส์) ด้วยเหตุนี้การศึกษาวัตถุดวงนี้อาจให้เบาะแสเกี่ยวกับต้นกำเนิดของระบบสุริยะได้มากกว่าการศึกษาดาวเคราะห์น้อย

นักดาราศาสตร์พบวัตถุดึกดำบรรพ์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะ
มันคล้ายดาวเคราะห์น้อย แต่มีเส้นทางโคจรแบบดาวหาง แล้วมันก็คล้ายจะมีหาง แต่ก็น้อยเกินกว่าจะเป็นดาวหาง

วัตถุดวงนี้คือ ซี/2014 เอส (แพนสตารรส์) ค้นพบในปี 2557 โดยกล้องแพน-สตารรส์  ในขณะนั้นอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณสองเท่าของระยะทางระหว่างดวงอาทิตย์ถึงโลก โดยถูกระบุชนิดว่าเป็นดาวหางที่มีอันตรกิริยาอ่อน  มีวงโคจรรีมาก โคจรรอบดวงอาทิตย์รอบหนึ่งใช้เวลาประมาณ 860 ปี วงโคจรที่รียาวเช่นนี้บ่งบอกว่ามีต้นกำเนิดมาจากเมฆออร์ต และเพิ่งถูกแรงรบกวนจากภายนอกเบี่ยงวงโคจรให้เข้ามาในระบบสุริยะชั้นในได้ 

เมฆออร์ต เป็นบริเวณรอบนอกของระบบสุริยะ เป็นที่อยู่ของวัตถุประเภทน้ำแข็งจำนวนมากซึ่งเป็นวัตถุต้นกำเนิดดาวหางคาบยาว บางคนจึงเรียกเมฆออร์ตว่าดงดาวหางออร์ต การที่ ซี/2014 เอส (แพนสตารรส์) มีทิศทางมาจากเมฆออร์ต ก็น่าจะเชื่อว่าเป็นดาวหาง แต่นักดาราศาสตร์สังเกตว่าวัตถุดวงนี้ออกจะไม่ธรรมดา เพราะมีสมบัติหลายอย่างไม่เหมือนดาวหางคาบยาวทั่วไปที่เข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ การวัดสเปกตรัมพบว่ามีสเปกตรัมคล้ายดาวเคราะห์น้อยชนิดเอส ซึ่งเป็นดาวเคราะห์น้อยที่พบได้ทั่วไปบริเวณแถบดาวเคราะห์น้อยหลัก และดูเหมือนว่าเนื้อของวัตถุดวงนี้ผ่านการแปรสภาพมาเพียงน้อยนิด แสดงว่าต้องผ่านการแช่แข็งมาเป็นเวลานานมาก อย่างไรก็ตามยังมีความคล้ายดาวหางอีกอย่างหนึ่งคือ มีการระเหิดของน้ำแข็งบ้าง แต่เกิดขึ้นในระดับอ่อนกว่าที่เกิดกับดาวหางคาบยาวที่อยู่ระยะห่างจากดวงอาทิตย์เท่ากันนี้ถึงราวหนึ่งล้านเท่า

คาเรน มีช จากสถาบันดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาวาย สันนิษฐานว่า ซี/2014 เอส (แพนสตารรส์) มีต้นกำเนิดในยุคเดียวกับที่โลกกำเนิดขึ้นมา แต่ได้ย้ายวงโคจรออกไปไกลถึงเมฆออร์ต แล้วต่อมาจึงได้เบี่ยงทิศทางเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์อีกครั้ง นับว่าเป็นวัตถุหินจากเมฆออร์ตก้อนแรกที่มีการค้นพบ

หากเป็นเช่นนั้นจริง วัตถุดวงนี้จะมีความสำคัญเยี่ยงวัตถุโบราณที่เก็บงำความลับของอดีตกาลเกี่ยวกับต้นกำเนิดระบบสุริยะ


เรารู้จักดาวแต่ดาวเคราะห์น้อยทั้งหมดอยู่ในเขตระบบสุริยะชั้นใน จึงถูกแสงอาทิตย์แผดเผามาเป็นเวลานับพันล้านปี ส่วนวัตถุดวงนี้ได้ไปอยู่ในเมฆออร์ตตั้งแต่ยุคแรก จึงเป็นเหมือนการหยุดเวลาไว้ เรียกได้ว่าเป็นดาวเคราะห์น้อยดิบ สมบัติต่างๆ ในตัวมันจึงถูกเก็บรักษาไว้เหมือนเพิ่งเริ่มเกิด วัตถุตั้งต้นที่ก่อกำเนิดดาวเคราะห์ต่าง ๆ รวมถึงโลกอาจมีลักษณะแบบเดียวกับ ซี/2014 เอส (แพนสตารรส์) ด้วยเหตุนี้การศึกษาวัตถุดวงนี้อาจให้เบาะแสเกี่ยวกับต้นกำเนิดของระบบสุริยะได้มากกว่าการศึกษาดาวเคราะห์น้อย
เคราะห์น้อยมากมาย 

ดาวเคราะห์น้อย

ดาวเคราะห์น้อย (อังกฤษ: Asteroid หรือบางครั้งเรียกว่า Minor Planet / Planetoid) คือวัตถุทางดาราศาสตร์ขนาดเล็กกว่าดาวเคราะห์ แต่ใหญ่กว่าสะเก็ดดาว (ซึ่งโดยปกติมักมีขนาดราว 10 เมตรหรือน้อยกว่า)  และไม่ใช่ดาวหาง การแบ่งแยกประเภทเช่นนี้กำหนดจากภาพปรากฏเมื่อแรกค้นพบ กล่าวคือ ดาวหางจะต้องมีส่วนของโคม่าที่สังเกตเห็นได้ชัด และมีรายชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อของดาวหางเอง ดาวเคราะห์น้อยมีลักษณะปรากฏคล้ายดวงดาว (คำว่า asteroid มาจากคำภาษากรีกว่า αστεροειδής หรือ asteroeidēs ซึ่งหมายถึง "เหมือนดวงดาว" มาจากคำภาษากรีกโบราณว่า Aστήρ หรือ astēr ซึ่งแปลว่า ดวงดาว) และมีการกำหนดเรียกชื่ออย่างคร่าวๆ ตามชื่อปีที่ค้นพบ จากนั้นจึงมีการตั้งชื่อตามระบบ (เป็นหมายเลขเรียงตามลำดับ) และชื่อ ถ้ามีการพิสูจน์ถึงการมีอยู่และรอบการโคจรเรียบร้อยแล้ว สำหรับลักษณะทางกายภาพของดาวเคราะห์น้อยโดยส่วนใหญ่ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด
ดาวเคราะห์น้อยดวงแรกที่มีการตั้งชื่อคือ ซีรีส ค้นพบในปี พ.ศ. 2344 โดย จูเซปเป ปิอาซซี ซึ่งในช่วงแรกคิดว่าได้ค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ และกำหนดประเภทให้มันว่าเป็นดาวเคราะห์แคระ ซีรีสนับเป็นดาวเคราะห์น้อยดวงใหญ่ที่สุดเท่าที่เป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน และจัดอยู่ในประเภทดาวเคราะห์แคระ ส่วนดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นๆ จัดเป็นวัตถุในระบบสุริยะขนาดเล็ก เซอร์วิลเลียม เฮอร์เชล (พ.ศ. 2281 - 2365 ผู้ค้นพบดาวยูเรนัส เมื่อ พ.ศ. 2324) เป็นผู้ประดิษฐ์คำศัพท์ "asteroid" ให้แก่วัตถุอวกาศชุดแรก ๆ ที่ค้นพบในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งทั้งหมดมีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์อยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี โดยส่วนใหญ่วงโคจรมักบิดเบี้ยวไม่เป็นวงรี แต่หลังจากนั้นมีการค้นพบดาวเคราะห์น้อยอยู่ระหว่างวงโคจรของดาวเคราะห์ต่างๆ นับตั้งแต่ดาวพุธไปจนถึงดาวเนปจูน และอีกหลายร้อยดวงอยู่พ้นจากดาวเนปจูนออกไป
ดาวเคราะห์น้อยส่วนมากพบอยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อย ซึ่งมีวงโคจรเป็นวงรีอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี เชื่อว่าดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่เป็นซากที่หลงเหลือในจานดาวเคราะห์ก่อนเกิด ซึ่งไม่สามารถรวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้ระหว่างการก่อกำเนิดระบบสุริยะเนื่องจากแรงโน้มถ่วงรบกวนจากดาวพฤหัสบดี ดาวเคราะห์น้อยบางดวงมีดาวบริวาร หรือโคจรระหว่างกันเองเป็นคู่ เรียกว่า ระบบดาวเคราะห์น้อยคู่

ดาวเคราะห์นอกระบบ


ดาวเคราะห์นอกระบบ

: extrasolar planet หรือ exoplanet คือ ดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงอื่นที่ไม่ใช่ดวงอาทิตย์ และอยู่ในระบบดาวเคราะห์อื่นที่ไม่ใช่ระบบสุริยะเดียวกันกับโลก นับถึงวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2016 มีการตรวจค้นพบและยืนยันการค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบรวมทั้งสิ้น 3,493 ดวง ในระบบดาวเคราะห์ 2,617 แห่ง ในจำนวนนี้ 590 แห่งประกอบด้วยดาวเคราะห์มากกว่าหนึ่งดวง และถูกบรรจุไว้ในสารานุกรมดาวเคราะห์นอกระบบโดยส่วนมากพบจากการตรวจวัดด้วยวิธีความเร็วแนวเล็งและกระบวนการทางอ้อมต่าง ๆ มากกว่าวิธีการถ่ายภาพโดยตรง ดาวเคราะห์นอกระบบส่วนใหญ่เป็นดาวเคราะห์แก๊สยักษ์คล้ายกับดาวพฤหัสบดี ซึ่งน่าจะเป็นผลจากกระบวนวิธีในการตรวจจับนั่นเอง แต่ผลการตรวจจับในระยะหลังมีแนวโน้มจะพบดาวเคราะห์นอกระบบขนาดเล็กลง ปัจจุบันมีการค้นพบดาวเคราะห์หินขนาดเบาเป็นจำนวนมากกว่าจำนวนดาวเคราะห์ แก๊สยักษ์แล้ว
ดาวเคราะห์นอกระบบเริ่มเป็นหัวข้อตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญตั้งแต่ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 นักดาราศาสตร์โดยทั่วไปเชื่อว่าดาวเคราะห์นอกระบบมีอยู่จริง แต่ไม่อาจทราบได้ว่ามันมีลักษณะเช่นไร หรือคล้ายคลึงกับดาวเคราะห์ในระบบสุริยะเพียง ใด การตรวจพบดาวเคราะห์นอกระบบครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1995 ด้วยวิธีตรวจวัดด้วยความเร็วแนวเล็ง ค้นพบดาวเคราะห์แก๊สยักษ์ที่มีคาบการโคจร 4 วันอยู่รอบดาว 51 เพกาซี นับแต่นั้นก็ตรวจพบดาวเคราะห์นอกระบบเพิ่มมากขึ้น เมื่อถึงปี ค.ศ. 2000 ก็มีการตรวจพบเพิ่มขึ้นทุกปีมากกว่าปีละ 15 ดวง และมีการตรวจพบเพิ่มขึ้นถึง 61 ดวงในปี ค.ศ. 2007 ประมาณการว่า อย่างน้อย 10% ของดวงดาวที่มีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์จะต้องมีดาวเคราะห์บริวาร โดยสัดส่วนที่แท้จริงอาจสูงกว่านั้น การค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบทำให้เกิดคำถามขึ้นอีกว่า จะมีบางดวงที่เอื้อต่อสิ่งมีชีวิตหรือไม่
ขณะนี้ กลีเซอ 581 ดี ดาวเคราะห์ดวงที่สี่ของดาวแคระแดง กลีเซอ 581 (ห่างจากโลกประมาณ 20 ปีแสง) ดูจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดเท่าที่ค้นพบ มีโอกาสจะเป็นดาวเคราะห์คล้ายโลกซึ่งเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต เนื่องจากมีวงโคจรอยู่ห่างจากดาวฤกษ์ของมันในระยะวงโคจรที่เหมาะสม แม้ผลการตรวจวัดเบื้องต้นจะบ่งชี้ว่ามันอยู่นอก "เขตโกลดิล็อก" ก็ตาม แต่ผลสำรวจในภายหลังส่อว่ามันอาจอยู่ภายในเขตพอดีก็ได้
แม้แนวคิดเกี่ยวกับดาวเคราะห์นอกระบบจะไม่ได้รับการยืนยันจนกระทั่งปี ค.ศ. 1988 แต่ก็เคยมีการคาดเดามาก่อนหน้านี้แล้วย้อนไปถึงช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 ว่า อาจมีดาวเคราะห์โคจรอยู่รอบ ๆ ดาวฤกษ์ต่าง ๆ บนท้องฟ้าก็ได้ ข้อมูลเกี่ยวกับแนวคิดเก่าแก่นี้พบได้ในหนังสือเจเนอร์รัล สคลอเลียม ของไอแซก นิวตัน ในปี ค.ศ. 1713 ซึ่งเขาบันทึกไว้ว่า "ถ้าดาวฤกษ์เหล่านั้นต่างเป็นศูนย์กลางของสิ่งอื่น ๆ เหมือนเช่นระบบสุริยะ การก่อตัวอันมีลักษณะคล้ายคลึงกันเช่นนี้แสดงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ใต้กฎเกณฑ์อันเดียวกัน"
มีการอ้างว่าค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบตั้งแต่ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งการกล่าวอ้างช่วงแรก ๆ จำนวนหนึ่งมักอ้างถึงดาวคู่ 70 Ophiuchi ปี ค.ศ. 1855 กัปตัน ดับเบิลยู. เอส. เจค็อบ แห่งหอดูดาวมัทราส บริษัทอีสต์อินเดีย ได้รายงานการพบวงโคจรแปลกประหลาดที่ "มีความเป็นไปได้สูง" ที่จะเป็น "วัตถุลักษณะดาวเคราะห์" ในระบบนั้นช่วงคริสต์ทศวรรษ 1890 โทมัส เจ. เจ. ซี แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกกับหอดูดาวกองทัพเรือสหรัฐอเมริการะบุว่าวงโคจรแปลก ประหลาดนั้นบ่งชี้ถึงวัตถุมืดอย่างหนึ่งในระบบของ 70 Ophiuchi โดยมีรอบการโคจรรอบดาวฤกษ์หนึ่งรอบประมาณ 36 ปี อย่างไรก็ดีไม่นานหลังจากนั้น ฟอเรสต์ เรย์ โมลตันก็ได้ตีพิมพ์บทความที่พิสูจน์ว่า ระบบแบบสามวัตถุที่มีค่าพารามิเตอร์วงโคจรเช่นนั้นเป็นระบบที่ไม่เสถียร อย่างที่สุดระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1950 ถึง 1960 ปีเตอร์ แวน เดอ คัมป์ แห่งวิทยาลัยสวาร์ทมอร์ได้เผยแพร่ข้อมูลอ้างถึงการค้นพบอย่างต่อเนื่องที่มี ชื่อเสียงมาก ครั้งนี้เป็นการพบดาวเคราะห์ในระบบดาวเบอร์นาร์ดแต่นักดาราศาสตร์ในปัจจุบันถือว่าข้อมูลการค้นพบในอดีตเหล่านี้เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน
ปี ค.ศ. 1991 แอนดรูว์ ลิน, เอ็ม เบลเลส และ เอส.แอล. ชีมาร์ อ้างว่าค้นพบดาวเคราะห์พัลซาร์ในวงโคจรรอบดาว PSR 1829-10 โดยใช้วิธีการประมวลความเปลี่ยนแปรเวลาของพัลซาร์ การกล่าวอ้างครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างท่วมท้น แต่ไม่นานหลังจากนั้นลินกับพวกก็เพิกถอนการค้นพบเสีย

การค้นพบที่ได้รับการยืนยันแล้ว
การค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบที่มีการเผยแพร่เป็นครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1988 โดยกลุ่มนักดาราศาสตร์ชาวแคนาดา ได้แก่ บรูซ แคมเบล, จี. เอ. เอช. วอล์กเกอร์ และ เอส. หยาง ผลจากการศึกษาเรื่องความเร็วแนวเล็งของดาวทำให้พบว่ามีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งโคจรอยู่รอบดาวแกมมาเซเฟย์ (ในกลุ่มดาวซีฟิอัส) พวกเขายังคงไม่แน่ใจที่จะรายงานการตรวจพบดาวเคราะห์ เพราะเป็นที่ร่ำลืออยู่ทั่วไปในแวดวงดาราศาสตร์มานานหลายปีแล้วเกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ทำนองนี้ การศึกษาในยุคนั้นยังมีข้อจำกัดอยู่มากเนื่องมาจากความสามารถของเครื่องมือ วัด นอกจากนี้ยังมีความสับสนอีกว่าวัตถุที่สงสัยจะเป็นดาวเคราะห์บางทีอาจเป็น เพียงดาวแคระน้ำตาล ซึ่งมีมวลอยู่กึ่งกลางระหว่างดาวเคราะห์กับดาวฤกษ์ก็ได้
ในปีถัดมามีการค้นพบเพิ่มเติมที่ช่วยยืนยันการมีอยู่ของดาวเคราะห์รอบดาวแกมมาเซเฟย์ แม้ว่างานศึกษาต่อเนื่องในปี ค.ศ. 1992 จะทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมา ตราบจนกระทั่งปี ค.ศ. 2003 เทคนิคที่พัฒนาขึ้นจึงช่วยยืนยันได้ว่าดาวเคราะห์ที่สงสัยนั้นมีอยู่จริง
ช่วงต้นปี ค.ศ. 1992 นักดาราศาสตร์วิทยุ อเล็กซานเดอร์ โวลส์ชาน และ เดล เฟรล ประกาศการค้นพบดาวเคราะห์รอบพัลซาร์อีกแห่งหนึ่ง คือ (กลุ่มดาวหญิงสาว) การค้นพบครั้งนี้ได้รับการยืนยันอย่างรวดเร็ว และถือว่าเป็นการตรวจพบดาวเคราะห์นอกระบบเป็นครั้งแรก เชื่อว่าดาวเคราะห์พัลซาร์เหล่านี้ก่อตัวขึ้นจากเศษซากซูเปอร์โนวาที่ผิดปกติอันเป็นกำเนิดของพัลซาร์แห่งนั้น ซึ่งอาจเป็นการก่อตัวดาวเคราะห์เป็นครั้งที่สอง หรืออาจเป็นแกนหินที่หลงเหลืออยู่จากดาวแก๊สยักษ์ที่รอดจากซูเปอร์โนวา แล้วจึงหมุนวนเข้ามาสู่วงโคจรดังที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
วันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1995 มิเชล เมเยอร์และดิดิเยร์ เควลอซ แห่งมหาวิทยาลัยเจนีวา ประกาศการค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบที่โคจรรอบดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลักแบบปกติเป็นครั้งแรก คือโคจรรอบดาว 51 เพกาซี (กลุ่มดาวม้าบิน) การค้นพบคราวนี้เกิดขึ้นที่หอดูดาว de Haute-Provence และนำไปสู่ยุคใหม่แห่งการค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบ ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้นโดยเฉพาะเทคนิคด้านสเปกโตรสโกปีที่ มีความละเอียดสูง ทำให้มีการตรวจพบดาวเคราะห์นอกระบบใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ความก้าวหน้ายังช่วยให้นักดาราศาสตร์สามารถตรวจสอบค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบ โดยวิธีทางอ้อมได้โดยการตรวจวัดแรงโน้มถ่วงที่ กระทำต่อการเคลื่อนที่ของดาวฤกษ์ดวงแม่ นอกจากนี้ยังมีดาวเคราะห์นอกระบบอีกจำนวนหนึ่งที่ตรวจพบโดยบังเอิญจากการ เฝ้าสังเกตการแปรแสงสว่างปรากฏของดาวฤกษ์โดยมีดาวเคราะห์เคลื่อนที่ผ่านหน้า ไป
จนถึงปัจจุบัน มีการค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบแล้ว 3,493 ดวง รวมถึงจำนวนดาวเคราะห์ที่เคยถูกปฏิเสธเมื่อปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 แต่ได้รับการยืนยันในภายหลัง ระบบดาวแห่งแรกที่ค้นพบว่ามีดาวเคราะห์มากกว่า 1 ดวงได้แก่ อัปซีลอนแอนดรอเมดา โดยที่ได้พบระบบดาวกว่า 590 แห่งแล้วที่มีดาวเคราะห์ในระบบจำนวนหลายดวง ในบรรดาดาวเคราะห์นอกระบบทั้งหมดมีดาวเคราะห์ที่เป็นดาวพัลซาร์ 4 ดวงโคจรรอบพัลซาร์อื่น 2 ดวงที่แยกจากกัน การสังเกตการณ์แผ่นจานฝุ่นระหว่างดาวในช่วงคลื่นอินฟราเรดบ่งชี้อีกว่ามีดาวหางอีกหลายล้านดวงอยู่ในระบบดาวฤกษ์มากมายหลายแห่ง

ดาวเคราะห์





ดาวเคราะห์ 
( อังกฤษ: planet หรือ "ผู้พเนจร") คือวัตถุขนาดใหญ่ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ ก่อนคริสต์ทศวรรษ 1990 มีดาวเคราะห์ที่เรารู้จักเพียง 8 ดวง (ทั้งหมดอยู่ในระบบสุริยะ) ปัจจุบันเรารู้จักดาวเคราะห์ใหม่อีกมากกว่า 100 ดวง ซึ่งเป็นดาวเคราะห์นอกระบบ คือ โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงอื่นที่ไม่ใช่ดวงอาทิตย์
ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับกันมากที่สุดในปัจจุบันกล่าวว่าดาวเคราะห์ก่อตัว ขึ้นจากการยุบตัวลงของกลุ่มฝุ่นและแก๊ส พร้อมๆ กับการก่อกำเนิดดวงอาทิตย์ที่ใจกลาง ดาวเคราะห์ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง สามารถมองเห็นได้เนื่องจากพื้นผิวสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ส่วนใหญ่ในระบบสุริยะมีดาวบริวารโคจรรอบ ยกเว้นดาวพุธและดาวศุกร์ และสามารถพบระบบวงแหวนได้ในดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อย่างดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน มีเพียงดาวเสาร์เท่านั้นที่สามารถมองเห็นวงแหวนได้ชัดเจนด้วยการใช้กล้องโทรทรรศน์


นิยามของดาวเคราะห์
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ที่ประชุมสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ที่กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ซึ่งประกอบด้วยนักดาราศาสตร์กว่า 2,500 คนจาก 75 ประเทศทั่วโลก ได้มีมติกำหนดนิยามใหม่ของดาวเคราะห์ ดังนี้
  1. เป็นดาวที่โคจรรอบดาวฤกษ์ (ซึ่งในที่นี้หมายถึงดวงอาทิตย์) แต่ไม่ใช่ดาวฤกษ์ และไม่ใช่ดาวบริวาร
  2. มีมวลมากพอที่จะมีแรงโน้มถ่วงดึงดูดตัวเองให้อยู่ในสภาวะสมดุลอุทกสถิต หรือรูปร่างใกล้เคียงกับทรงกลม
  3. มีวงโคจรที่ชัดเจนและสอดคล้องกับดาวเคราะห์ข้างเคียง
  4. มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อย 500 ไมล์ (804.63 กิโลเมตร)
นิยามใหม่นี้ส่งผลให้ ดาวพลูโต (♇) และดาวอีรีส ซึ่งเคยนับเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 9 และ 10 ถูกปลดออกจากการเป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ คงเหลือดาวเคราะห์เพียง 8 ดวง เนื่องจากดาวพลูโตไม่สามารถควบคุมแรงดึงดูด และวงโคจรของสิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกระบบสุริยะ ทั้งยังมีวงโคจรที่ไม่สอดคล้องกับดาวเคราะห์ข้างเคียง และให้ถือว่าดาวพลูโตเป็น ดาวเคราะห์แคระ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ

กลุ่มดาวจักรราศี

 
กลุ่มดาวจักรราศี
กลุ่มดาวจักรราศี หมายถึง กลุ่มดาวฤกษ์จำนวน 12 กลุ่ม ที่อยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ออกไป ซึ่งเมื่อมองจากโลกจะเห็นกลุ่มดาวเหล่านี้ ปรากฏแตกต่างกันไปตามช่วงระยะเวลาของเดือน ซึ่งมนุษย์ในสมัยโบราณก็จินตนาการรูปร่างของกลุ่มดาวเป็นสิ่งต่างๆ และมีการค้นพบ รูปของกลุ่มดาวจักรราศีวาดอยู่บนโลงศพของมัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณด้วย ต่อมามนุษย์ได้แบ่งกลุ่มดาวฤกษ์ที่อยู่ตามแนวทางเดินของดวงอาทิตย์ ที่เรียกว่า เส้นสุริยะวิถี ออกเป็น 12 กลุ่ม จริงๆแล้ว กลุ่มดาวดังกล่าวไม่ได้อยู่บนแนวสุริยวิถีพอดี แต่จะอยู่ในช่วงแถบกว้างประมาณ 18 อาศา ผ่านแนวสุริยวิถี โดยมี 12 กลุ่มดาว แต่ละกลุ่มดาวห่างกัน ประมาณ 30 องศาเมื่อประมาณ 1000 ปีก่อนคริสตศักราช กลุ่มดาวกลุ่มแรก ที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ผ่าน จุดที่สุริยะวิถี เคลื่อนที่ตัดกับเส้นศูนย์สูตรฟ้าพอดี ในเริ่มต้นของฤดูร้อน คือ กลุ่มดาวแกะ (Aries) กลุ่มดาวแกะจึงถูกเรียกในสมัยนั้นว่า March Equinox หรือ 0 Aries กลุ่มดาวถัดมา คือ กลุ่มดาววัว, กลุ่มดาวคนคู่, กลุ่มดาวปู, กลุ่มดาวสิงห์, กลุ่มดาวผู้หญิงสาว, กลุ่มดาวคันชั่ง, กลุ่มดาวแมงป่อง, กลุ่มดาวคนยิงธนู, กลุ่มดาวมกร, กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ และกลุ่มดาวปลาคู่ รวมเป็น 12 กลุ่มดาวจักรราศีต่อมา เมื่อประมาณ .. 0 จุด Equinox ดังกล่าวได้ขยับ มาอยู่ในกลุ่มดาวปลาคู่ (Pisces) เข้าสู่ยุคที่เรียกว่า the Age of Pisces หรือยุค the New Great Age นั่นเอง และคาดว่า ประมาณปี .. 2600 จุดดังกล่าวจะขยับ เข้าสู่กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ (Aquarius) เริ่มต้นยุคที่เรียกว่า the Age of Aquariusโดยทุกๆประมาณ 2100 ปี จุด Equinox จะขยับไปทางทิศตะวันตกทีละ 1 จักรราศีนั่นเองเนื่องจากโลกโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ โดยที่แกนโลกเอียงทำมุมประมาณ 23.5 องศา กับ แนวตั้งฉากกับแนวการเคลื่อนที่ของโลก รอบดวงอาทิตย์ แกนดังกล่าวไม่ได้เอียงคงที่ แต่จะส่ายเช่นเดียวกับแกนของลูกข่าง ที่ส่ายในขณะที่หมุน และเคลื่อนที่ไปรอบๆ เพียงแต่ขนาดของวงโคจร ที่โลกเคลื่อนที่ มีขนาดใหญ่กว่ามาก ทำให้คาบเวลาในการส่าย ใช้เวลานานถึง 26,000 ปี ซึ่งปัจจุบัน แกนขั้วฟ้าเหนือ ชี้ไปใกล้กับดาวเหนือ (Polaris) และจะชี้ไปใกล้ดาวเหนือมากที่สุด ประมาณปี ..2100 และในอีกประมาณ 13,000 ปีจากปัจจุบัน แกนขั้วฟ้าเหนือ จะชี้ไปใกล้ดาววีกา (Vega) ในกลุ่มดาวพิณ (Lyra) แทน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้จุด Vernal Equinox ค่อยๆขยับ ไปทางทิศตะวันตกช้าๆ ปีละประมาณ 50 ฟิลิปดา (50/3600 องศา) นั่นเอง ในอดีตกาล ดาวขั้วฟ้าเหนือของชาวอียิปต์โบราณ ประมาณ 4800 ปีมาแล้ว คือ ดาวทูบาน (Thuban) ในกลุ่มดาวมังกร (Draco) ซึ่งเป็นดาวดวงที่ 3 นับจากหางรูปมังกรซึ่งทำให้ปิระมิดของชาวอียิปต์ มีช่องจากภายใน ชี้ไปดาวทูบานนั่นเอง

 กลุ่มดาวแกะ เป็นกลุ่มดาวทางซีกฟ้าด้านเหนือ อยู่ถัดจากกลุ่มดาวปลาไปทางทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์จะผ่านกลุ่มดาวแกะระหว่างวันที่ 19 เมษายน ถึง 14 พฤษภาคม กลุ่มดาวแกะประกอบด้วยดาวฤกษ์ 4 ดวงเป็นอย่างน้อย โดย 3 ดวงแรกเป็นส่วนของหัวแกะ ( Hamal เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่าง 2.00 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 66 ปีแสง ชื่อดาวหมายถึง Lamp , Sheraton มีความสว่าง 2.64 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 60 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง Mark หรือ Sign เนื่องจาก จุด March Equinox หรือ 0 Aries อยู่ใกล้กับดาวดวงนี้มากที่สุด ในช่วง 300-400 ปีก่อนคริสต์ศักราช , Aries มีความสว่าง 4.0 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 148 ปีแสง )  และอีก 1 ดวงเป็นสะโพกของแกะ กลุ่มดาวแกะจะขึ้นทางจุดทิศตะวันออกเฉียงไปทางเหนือเล็กน้อยประมาณ 22.5 องศา และจะปรากฏบนท้องฟ้านานวันละ 12 ชั่วโมงกลุ่มดาวแกะ เมื่อครั้งสมัยกรีกโบราณ ( 1000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ) เคยเป็นกลุ่มดาวที่แนวการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ ตัดกับแนวเส้นศูนย์สูตรฟ้าพอดีในฤดูใบไม้ผลิ ( ราววันที่ 21 มีนาคมของทุกปี ) เราเรียกจุดนี้ว่า The March Equinox หรือ 0 Aries หรือปัจจุบันเรียกว่า The Vernal Equinox ในปัจจุบัน จุดดังกล่าวได้ขยับไปอยู่ในกลุ่มดาวปลาคู่ ( Pisces )

  กลุ่มดาววัว เป็นกลุ่มดาวที่สังเกตเห็นได้ง่าย มีดาวฤกษ์เรียงกันเป็นรูปตัววีอย่างน้อย 9 ดวง เป็นกลุ่มดาวทางฟ้าซีกเหนือ โดยจะปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางทิศเหนือ คนไทยโบราณเรียกกลุ่มดาววัวนี้ว่า ดาวไม้ค้ำเกวียน หรือ ดาวธง ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาววัวระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม ถึง 21 มิถุนายน ในกลุ่มดาววัวจะมีดาวฤกษ์สีส้มแดงสว่างที่สุดอยู่หนึ่งดวงเป็นตาขวาของวัว ชื่อว่า ดาวอัลดิบะแรน ( ALDEBARAN ) หรือ ดาวโรหิณี ( ความสว่าง 0.85 ) มีความหมายว่า ผู้ติดตาม เพราะดาวดวงนี้อยู่ตามหลังกลุ่มดาวลูกไก่ ห่างไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 15 องศา จะเป็นกระจุกดาวเปิด ที่มีชื่อว่า กระจุกดาวลูกไก่ ( PLEIADES ) หรือ ดาวเจ็ดสาวพี่น้องตามนิทานของกรีก ซึ่งประกอบด้วยดาวฤกษ์นับร้อยดวง แต่สามารถเห็นชัดได้ด้วยตาเปล่าเป็นดาวสว่างมาก 6 ดวงและสว่างน้อย 1 ดวง ซึ่งดาวที่สว่างที่สุดในกระจุกดาวนี้เป็นดาวฤกษ์สว่างสีขาว ชื่อว่า ดาวอัลซีโยน ( ALCYONE )

ในกลุ่มดาววัว ประกอบด้วยดาวและกระจุกดาวฤกษ์ที่สำคัญดังนี้ Aldebaran ดาวอัลเดบารอน หรือชื่อไทยว่า ดาวตาวัว เป็นดาวฤกษ์แปรแสงสีแดงส้ม มีความสว่างระหว่าง 0.75-0.95 เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างเป็นอันดับ 5 ของท้องฟ้าตอนกลางคืน อยู่ห่างจากโลกประมาณ 65 ปีแสง ชื่อดาว Aldebaran หมายถึง ผู้ติดตาม เนื่องจากมันขึ้น-ตกตามกระจุกดาวลูกไก่นั่นเอง นอกจากนี้ ดาวตาวัว ยังเป็นดาวหนึ่งในสี่ของดาวราชาทั้งสี่ (The Four Royal Stars) ซึ่งประกอบด้วย ดาวหัวใจสิงห์  ดาวตาวัว ดาวปาริชาต และดาวโฟมาออท ซึ่งแต่ละดวงจะแบ่งเส้นรอบวงท้องฟ้าออกเป็น 4 ส่วน โดยอยู่ห่างพอๆกันประมาณครึ่งท้องฟ้า (90 องศา) ทำให้เรามองเห็นดาวราชาอย่างน้อย 1 คู่เสมอElnath ดาวเอลแนต มีความสว่าง 1.65 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 131 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง ส่วนปลายของอาวุธ (The butting one) ซึ่งอยู่ในตำแหน่งปลายเขาของวัวด้านเหนือ เดิมเคยเป็นดาว ร่วมกับกลุ่มดาวสารถี แต่ปัจจุบัน ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มดาววัวTaurus ดาวเซต้าวัว เป็นดาวคู่ 2 ดวง มีความสว่าง 3.0 และ 5.0 โคจรซึ่งกันและกัน อยู่ห่างจากโลกประมาณ 417 ปีแสง ชื่อดาว อยู่ในตำแหน่งปลายเขาของวัวด้านใต้ M1 - The Crab Nebula เนบิวลารูปปู - มองเห็นได้ด้วยกล้องสองตา อยู่ด้านบนของปลายเขาด้านใต้ ปัจจุบัน เป็นซากของ Supernova ที่เกิดขึ้นเมื่อปี ..1597 (..1054) ซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนนานหลายปี ที่ชื่อเนบิวลารูปปูเนื่องจาก มีรูปร่างคล้ายปูนั่นเอง M45 - Pleiadesกระจุกดาวลูกไก่เป็นกระจุกดาวที่มีชื่อเสียง และอยู่ใกล้โลกมากที่สุด ห่างจากโลกประมาณ 212 ปีแสง มีความสว่างประมาณ 2.87 ดาวที่สว่างที่สุดในกลุ่มกระจุกดาว คือ ดาวอัลซีโอเน (Alcyone) กระจุกดาวลูกไก่ อยู่ในตำแหน่งของโหนกวัว สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า 6-8 ดวง ส่วนชื่อ พลิอะดีส (Pleiades) เป็นภาษาละติน หมายถึง ลูกสาวทั้งเจ็ด (The seven sisters) ของ Titan Atlas และ PleioneThe Hyadesกระจุกดาวไฮแอดส์ (หรือสามเหลี่ยมหน้าวัว) เป็นกระจุกดาวเปิดที่เห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า เรียงกันเป็นรูปหน้าวัว (ตัว V) ไม่รวมดาวตาวัว ส่วนคนไทยจะเห็นเป็นรูปธง จึงเรียกว่า "กลุ่มดาวธง" ห่างจากโลกประมาณ 140 ปีแสง มีความสว่างประมาณ 0.5 ชื่อกระจุกดาว "ไฮแอดส์" (Hyades) หมายถึง Rainy ones เนื่องจาก จะเริ่มมองเห็นกลุ่มดาววัว ในช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคม โดยมาพร้อมกับฝน หรือพายุนั่นเอง
 
กลุ่ม ดาวคนคู่ เป็นกลุ่มดาวที่อยู่ถัดจากกลุ่มดาววัวไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยดาวฤกษ์อย่างน้อย 8 ดวงเรียงกันเป็นรูปคนคู่ หรือ ฝาแฝด มีชื่อว่า คาสเตอร์ ( CASTER ) เป็นดาวฤกษ์แฝดหกซึ่งเป็นดาวดวงที่ 5 ในกลุ่มดาวคนคู่ และ พอลลักซ์ ( POLLUX ) ซึ่งเป็นดาวดวงที่ 4 ในกลุ่มดาวคนคู่ ดวงอาทิตย์จะผ่านเข้าสู่กลุ่มดาวคนคู่ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน ถึง 21 กรกฎาคม เป็นกลุ่มดาวที่เห็นชัดตลอดคืนในฤดูหนาว โดยเฉพาะเดือนมกราคมจะเห็นอยู่ตลอดทั้งคืน


กลุ่ม ดาวคนคู่ เป็นกลุ่มดาวอันดับที่สามของกลุ่มดาวจักรราศี เนื่องจากเป็นกลุ่มดาวที่อยู่ในแนวสุริยวิถี อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ของกลุ่มดาวนายพราน (Orion) โดยมีดาวฤกษ์สุกสว่างที่สังเกตง่าย และอยู่ใกล้กัน 2 ดวง คือ ดาวคาสเตอร์ (Caster) และ ดาวพอลลักซ์ (Pollux) อยู่บนทางช้างเผือก (The Milky Way) ส่วน คนไทยเห็นกลุ่มดาวคนคู่ เรียงกันเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า คล้ายโลงศพ จึงเรียกชื่อกลุ่มดาวนี้ว่า กลุ่มดาวโลงศพ และเห็นดาวสามดวงที่อยู่ตรงด้านข้างโลงเหมือน นกกาที่มาเกาะโลงอยู่ แล้วเรียกกลุ่มดาวดังกล่าวว่า กลุ่มดาวกา เราสามารถเห็นกลุ่มดาวคนคู่ ขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ราวเที่ยงคืนของเดือนมกราคม ประกอบด้วยกลุ่มดาวที่สำคัญดังนี้ Caster  ดาวคาสเตอร์ เป็นดาวฤกษ์ในระบบดาวคู่ (Double Star) ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดย 2 ดวงแรก (ชื่อ Caster A และ Caster B) มีความสว่างเท่ากับ 1.94 และ 2.92 ตามลำดับ โดยโคจรรอบกันและกันประมาณ 510 ปีต่อรอบ อยู่ห่างจากโลกประมาณ 52 ปีแสง ดาวคาสเตอร์ เป็นศีรษะของหนึ่งในสองคนของคนคู่ Pollux เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างเท่ากับ 1.14 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 34 ปีแสง ชาวอารบิก เรียกดาวพอลลักซ์ อีกชื่อหนึ่งว่า Rasalgeuse หมายถึง ศีรษะของคนคู่  Alhena เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างประมาณ 1.93 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 105 ปีแสง M35 เป็นกระจุกดาวเปิด (Open Cluster) ในกลุ่มดาวคนคู่ มองเห็นค่อนข้างยากด้วยตาเปล่า อยู่เหนือดาวเอตาประมาณ 2 องศา ประกอบด้วยดาวฤกษ์สว่างประมาณ 200 ดวงขึ้นไป มีความสว่างประมาณ 5.1 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 2200 ปีแสง 
 
  กลุ่มดาวปู เป็นกลุ่มดาวที่ถัดมาจากกลุ่มดาวคนคู่ทางทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์จะผ่านกลุ่มดาวปูระหว่างวันที่ 21 กรกฎาคม ถึง 11 สิงหาคม กลุ่มดาวปูประกอบไปด้วยดาวฤกษ์แสงริบหรี่อย่างน้อย 5 ดวงทำให้มองเห็นได้ยาก แต่ในต้นเดือนกุมภาพันธ์จะเห็นได้ตลอดคืน ในกลุ่มดาวปูนี้จะมีฝ้าขาวๆอยู่ เรียกว่า กระจุกดาวรวงผึ้ง ( PRAESEPE ) หรือ ที่คนไทยเรียกว่า กระจุกดาวปุยฝ้าย ซึ่งเป็นกระจุกดาวเปิดประกอบไปด้วยดาวฤกษ์จำนวนมาก และสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

กลุ่มดาวปู เป็นกลุ่มดาวที่มีความสว่างน้อยที่สุดในกลุ่มดาวจักรราศี ซึ่งไม่มีดาวดวงใดในกลุ่มดาวเลย ที่มีความสว่างน้อยกว่า 4.0 กลุ่มดาวปูอยู่ระหว่างกลุ่มดาวคนคู่ (Gemmini) และกลุ่มดาวสิงโต (Leo) โดยกลุ่มดาวปูจะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้าประมาณเที่ยงคืนของปลายเดือนมกราคมและต้นเดือนกุมภาพันธ์ มีกลุ่มดาวที่สำคัญ ดังนี้ Acubens เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงินขาว มีความสว่างประมาณ 4.3 ชื่อดาว หมายถึง ก้ามปู (The Claw) Altarf  มีความสว่างประมาณ 3.52 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 290 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง ปลายขาปู Asellus Borealis เป็นดาวฤกษ์สีเหลืองมีความสว่างประมาณ 4.7 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 230 ปีแสง หมายถึง ลา (The Assess) Asellus Austrailis เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างประมาณ 4.2 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 220 ปีแสง M44 - The Beehive Cluster or Praesepe Open Cluster กระจุกดาวรวงผึ้ง เป็นกระจุกดาวเปิดที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยจะมองเห็นเป็นฝ้า มีขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เท่าของดวงจันทร์ (ประมาณ 80 ลิปดา) ประกอบด้วยดาวฤกษ์เกือบ 100 ดวง มีความสว่างปรากฏประมาณ 3.1 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 520 ปีแสง ชื่อกระจุกดาว หมายถึง รางหญ้า (The Manger) 
  กลุ่ม ดาวสิงโต ประกอบด้วยดาวฤกษ์อย่างน้อย 9 ดวง ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาวราศีสิงห์ระหว่างวันที่ 11 สิงหาคม ถึง 17 กันยายน เป็นกลุ่มดาวที่สังเกตได้ง่ายบนฟ้า เพราะมีดาวฤกษ์ดวงใหญ่สีน้ำเงินขาวสว่างที่สุดในกลุ่มดาวนี้ 1 ดวง อยู่ตรงบริเวณหน้าอกของสิงโต เรียกว่า ดาวเรกิวลุส ( REGULUS ) หรือ ดาวหัวใจสิงห์ มีความสว่างถึง 1.35 และ ตรงปลายหางของสิงโตจะมีดาวฤกษ์สว่างสีขาวอีก 1 ดวง เรียกว่า ดาวหางสิงห์ ( DENEBOLA ) มีความสว่าง 2.14 ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 นั้น ดวงจันทร์จะปรากฏเต็มดวงบริเวณหัวของสิงโต ที่เรียกว่า มาฆฤกษ์

กลุ่ม ดาวสิงโต เป็นกลุ่มดาวอันดับที่ห้าของกลุ่มดาวจักรราศี เป็นกลุ่มดาวที่อยู่ในแนวสุริยวิถีที่สังเกต และจดจำได้ง่ายโดยรูปสิงโตของกลุ่มดาวสิงโต จะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ดาวในส่วนหัวของสิงโตจะเรียงกันเป็นรูปเครื่องหมายคำถามกลับด้าน (Reversed Question Mark) โดยมีดาวฤกษ์สุกสว่างคือ ดาวเรกูลัส ซึ่งจะอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจของสิงโต จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า ดาวหัวใจสิงห์ มีดาวที่สำคัญดังนี้ Regulus or Cor Leonic ดาวหัวใจสิงห์ (ดาวเรกูลัส) เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน-ขาวที่อยู่บนแนวสุริยวิถี มีความสว่างประมาณ 1.35 เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างเป็นอันดับ 21 ของท้องฟ้าตอนกลางคืน อยู่ห่างจากโลกประมาณ 77 ปีแสง ชื่อดาว Regulus หมายถึง หัวใจสิงห์ เป็นดาวหนึ่งในสี่ของดาวราชาทั้งสี่ (The Four Royal Stars) ซึ่งประกอบด้วย ดาวหัวใจสิงห์ ดาวตาวัว ดาวปาริชาต และดาวโฟมาออท ซึ่งแต่ละดวงจะแบ่งเส้นรอบวงท้องฟ้าออกเป็น 4 ส่วน โดยอยู่ห่างพอๆกันประมาณครึ่งท้องฟ้า (90 องศา) ทำให้เรามองเห็นดาวราชาอย่างน้อย 1 คู่เสมอ นอกจากนี้ดาวหัวใจสิงห์เป็นดาวคู่โดยโคจรรอบดาวฤกษ์อีกดวงซึ่งกันและกันพอมองเห็นได้ด้วยกล้องสองตา Denebola ดาวเดเนบโบลา มีความสว่างประมาณ 2.14 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 36 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง หางสิงโต (The lion's tail) ซึ่งอยู่ในตำแหน่งหางสิงโตพอดีโดยดาว Denebola เป็นดาวคู่เช่นกันแต่ไม่สามารถเห็นดาวคู่ได้ด้วยกล้องดูดาวขนาดเล็ก  Algieba  ดาวอัลจีบา เป็นดาวคู่ มีความสว่างประมาณ 2.2 และ 3.47 สามารถเห็นดาวคู่ได้ด้วยกล้องดูดาวขนาดเล็กอยู่ห่างจากโลกประมาณ 126 ปีแสงโคจรรอบซึ่งกันและกันโดยใช้เวลาประมาณ 620 ปีต่อรอบ ชื่อดาวหมายถึง หน้าผาก (The Forehead) แต่จริงๆแล้วอยู่ในตำแหน่งคอของสิงโต นอกจากนี้เราสามารถเห็นฝนดาวตกสิงโต (Leonid Meteor Shower) ได้ตรงตำแหน่งประมาณ 2 องศาไปทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของดาวดวงนี้โดยจะเห็นมากสุดทุก 33 ปีโดยครั้งล่าสุดเมื่อปี พ..2542 (..1999) Adhafera ดาวแอดฮาเฟอรา เป็นดาวคู่เช่นกันอยู่ห่างจากโลกประมาณ 260 ปีแสงโดยที่อีกดวงมีความสว่างประมาณ 6 พอมองเห็นดาวคู่ได้ด้วยกล้องสองตา M95  M96 M105 - The Galaxy M95 และ M96 เป็นกาแลกซีแบบกังหัน (Spiral Galaxy) ส่วน M105 เป็นกาแลกซีแบบทรงกลม (Elliptical Galaxy) กล้องสองตา อยู่ห่างจากดาวหัวใจสิงห์ ไปทางตะวันออก ประมาณ 9 องศาอยู่ห่างจากโลกประมาณ 30 ล้านปีแสง จากกาแลกซีทางช้างเผือกมีความสว่างประมาณ 9.7, 9.2 และ 9.3 ตามลำดับ 
 
  กลุ่ม ดาวหญิงสาวพรหมจารี เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่ผ่านระหว่างวันที่ 17 กันยายน ถึง วันที่ 1 พฤศจิกายน ถือว่าเป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่ดวงอาทิตย์ใช้เวลาเคลื่อนที่ผ่านนานที่สุด คือ 46 วัน รองลงมาคือ กลุ่มดาววัว 39 วัน ประกอบด้วยดาวฤกษ์เรียงต่อกันอย่างน้อย 11 ดวง มีกลุ่มดาวที่สว่างมากอยู่ 6 ดวงเรียงกันเป็นรูปตัววาย ดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุด คือ ดาวสไปก้า ( SPICA ) เป็น ดาวฤกษ์สีขาวเหลือง มีหมายถึง รวงข้าวสาลีที่หญิงสาวถือไว้ในมีซ้าย มีความสว่าง 0.97 และอยู่ใต้เส้นสุริยะวิถีเล็กน้อย เมื่อถึงวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ดวงจันทร์จะตรงกับดาวสไปก้าพอดี จึงเรียกว่า จิตรฤกษ์

กลุ่ม ดาวหญิงสาว หรือกลุ่มดาวหญิงสาวพรหมจารี เป็นกลุ่มดาวอันดับที่หกของกลุ่มดาวจักรราศี มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองรองจากกลุ่มดาวงูไฮดรา (Hydra) กลุ่มดาวหญิงสาว อยู่ทางซีกฟ้าใต้ มีลำตัวทอดยาวขนานไปตามแนวสุริยวิถี (อยู่ด้านเหนือของสุริยะวิถี) มี ดาวฤกษ์สุกสว่าง คือ ดาวรวงข้าว เป็นดาวฤกษ์ที่เห็นได้เด่นชัดและหาได้ง่าย โดยกลุ่มดาวหญิงสาว จะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของเดือนเมษายน มีดาวที่สำคัญ ดังนี้ Spica ดาวรวงข้าว หรือดาวสไปกา เป็นดาวแปรแสง มีความสว่างระหว่าง 0.97-1.04 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 262 ปีแสง ดาวรวงข้าว อยู่ในตำแหน่งก้านของรวงข้าว ที่หญิงสาวถือไว้ด้วยมือซ้าย คำว่า Spica มาจากภาษาอารบิก หมายถึง ไม่สามารถสู้ได้ (Defenceless or unarmed one) เนื่อง จากไม่มีดาวฤกษ์ที่สว่างใดใกล้เคียงบริเวณนั้นและถ้ามองไปตามแนวสุริยวิถีจะ พบว่า ดาวรวงข้าวจะอยู่ประมาณกึ่งกลางระหว่าง ดาวหัวใจสิงห์ และดาวปาริชาตโดยห่างไปประมาณ 50 องศา Zavijava ดาวซานิซจาวา เป็นดาวฤกษ์สีเหลืองมีความสว่างประมาณ 3.8 ปัจจุบันจุด Autumnal Equnix ก็อยู่ใกล้กับดาวดวงนี้มากที่สุด Porrima ดาวพอร์ริมา เป็นดาวคู่ มีความสว่างรวมประมาณ 2.76 สามารถเห็นทั้งคู่ได้ด้วยกล้องดูดาวหรือกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กทั้งคู่มีความสว่างประมาณ 3.5 ทั้งสองดวง โคจรรอบซึ่งกันและกัน ใช้เวลาประมาณ 169 ปีต่อรอบอยู่ห่างจากโลกประมาณ 39 ปีแสง ชื่อดาว พอร์ริมา เป็นชื่อเทพธิดาแห่งการทำนาย ในสมัยโรมัน (the Roman Goddess of Prophecy) ดาวดวงนี้ มีอีกชื่อหนึ่งว่า Carmenta Auva เป็นดาวฤกษ์ยักษ์สีแดง มีความสว่างประมาณ 3.38 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 202 ปีแสง มีอีกชื่อหนึ่งว่า Minalava Vindemiatrix  ดาววินดามิอาทริกซ์ มีความสว่างประมาณ 2.83 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 102 ปีแสง อยู่ในตำแหน่งแขนขวาของหญิงสาว ชื่อดาวมาจากภาษาละติน หมายถึง ผู้เก็บเกี่ยวต้นองุ่น (The femaie grape-gatherer) ซึ่งในอดีต ดาวดวงนี้เป็นสัญญาณบอกถึง การเข้าสู่ฤดูการทำไวน์นั่นเอง The Virgo Cluster of Galaxies กระจุก กาแล็กซีในกลุ่มดาวหญิงสาวเป็นกระจุกดาวที่มีกาแล็กซีจำนวนมาก ในกลุ่มดาวหญิงสาว อยู่ในบริเวณศีรษะของหญิงสาว ระหว่างกลุ่มดาวผมของเบเรนิซ (Coma Berenices) และกลุ่มดาวนกกา (Corvus) ห่างจากโลกโดยเฉลี่ยประมาณ 65 ปีแสง มีความสว่างระหว่างช่วง 8.6-11.9 ได้แก่ M49, M58, M59, M60, M61, M84, M86, M87, M89, M90, M104 เป็นต้น M87 - The Virgo A Galaxy มีชื่อว่า The Virgo A Galaxy มีความสว่างประมาณ 8.6 เป็นกาแล็กซีแบบทรงกลม (The Elliptical Galaxy) ประเภท E0 ที่สว่างที่สุด ในกลุ่มดาวหญิงสาว อยู่ระหว่างแนวต่อระหว่าง กลุ่มดาวหญิงสาว และกลุ่มดาวผมของเบเรนิซ (Coma Berenices) และจะมีกาแล็กซี และกระจุกดาวทรงกลมมากมาย รอบๆบริเวณนี้ M104 - The Sombrero Galaxy เป็นกาแล็กซีที่มีความสว่าง อยู่ในอันดับต้นๆ ของกลุ่มดาวหญิงสาวเป็นกาแล็กซีแบบมีแขน (Spiral Galaxy) ประเภท Sa ถ้ากล้องโทรทรรศน์ มีกำลังขยายพอ จะเห็นเป็นแถบดำ คาดอยู่กลางกาแล็กซีนี้ อยู่ระหว่างแนวต่อระหว่าง กลุ่มดาวหญิงสาว และกลุ่มดาวนกกา (Corvus) 
 
   กลุ่มดาวคนยิงธนู อยู่ถัดจากกลุ่มดาวแมงป่องไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยดาวฤกษ์เรียงกันอย่างน้อย 8 ดวง คล้ายกับกาต้มน้ำ ไม่มีดาวดวงใดเด่นมากนัก ดวงอาทิตย์จะโคจรผ่านกลุ่มดาวคนยิงธนูระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม ถึง 21 มกราคม ซึ่งกลุ่มดาวคนยิงธนูเป็นกลุ่มดาวที่อยู่ใจกลางทางช้างเผือก

                กลุ่มดาวคนยิงธนู เป็นกลุ่มดาวอันดับที่เก้าของกลุ่มดาวจักรราศีโดยกลุ่มดาวคนยิงธนูจะเป็นรูปสัตว์ในเทพนิยาย เป็นครึ่งม้าครึ่งคน เหมือนกลุ่มดาวม้าครึ่งคน (Centaurus) เพียงแต่คนยิงธนูเป็นนายพรานจึงมักจะสับสนกันบ่อย กลุ่มดาวคนยิงธนูจะหันปลายธนู ไปทางกลุ่มดาวแมงป่อง (Scorpius) แต่กลุ่มดาวที่ค่อนข้างสุกสว่างจริงๆ ของกลุ่มดาวนี้ เรามักจะเห็นเป็นรูปกาต้มน้ำหันไปทางกลุ่มดาวแมงป่องมากกว่าโดยจะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้าประมาณเที่ยงคืนของต้นเดือนกรกฎาคม มีดาวที่สำคัญ ดังนี้ Rakbat เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน-ขาว มีความสว่างไม่มากนักเพียงประมาณ 4.1 เท่านั้น ชื่อดาว หมายถึง หัวเข่า (The Knee) Arkab Prior Arkab Posterior เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน-ขาว มีความสว่างไม่มากนักเช่นกันเพียงประมาณ 4.3 และ 4.5 เท่านั้น Alnasl เป็นดาวฤกษ์สีเหลืองมีความสว่างประมาณ 2.99 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 96 ปีแสง ดาวดวงนี้ มีอีกชื่อหนึ่งว่า Nash หมายถึง หัวลูกศรธนู Kaus Australis เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน-ขาว มีความสว่างประมาณ 1.85 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 145 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง ด้านใต้ของคันธนู (The Southern Bow) เนื่องจากตำแหน่งของดาว อยู่ในตำแหน่งด้านล่างของคันธนูนั่นเอง Kaus Meridionalis มีความสว่างประมาณ 2.70 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 306 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง กลางของคันธนู (The Middle Bow) เนื่องจากตำแหน่งของดาวอยู่ในตำแหน่งกลางคันธนู Kaus Borealis มีความสว่างประมาณ 2.81 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 77 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง ด้านเหนือของคันธนู (The Northern Bow) เนื่องจากตำแหน่งของดาว อยู่ในตำแหน่งด้านบนของคันธนู Nunki เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน-ขาว มีความสว่างประมาณ 2.02 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 224 ปีแสง อยู่ในตำแหน่งมือขวาของคนยิงธนูที่กำลังง้างธนู ชื่อดาวดวงนี้ ตั้งแต่สมัยบาบิโลเนียน หมายถึง ดาวที่ขึ้นมาก่อนในทะเล (the Star Preclaiming the Sea) เนื่องจากกลุ่มดาวที่จะปรากฏตามมาล้วนเป็นกลุ่มดาวที่อยู่กับในทะเลทั้งสิ้น ได้แก่ กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ (Aquarius) กลุ่มดาวแพะทะเล หรือมกร (Capricornus) กลุ่มดาวปลาโลมา (Delphius) กลุ่มดาวปลาวาฬ (Cetus) กลุ่มดาวปลาคู่ (Pisces) กลุ่มดาวปลาทางใต้ (Piscis Austrinus)  Ascella มีความสว่างปรากฏ 2.60 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 89 ปีแสง ชื่อดาว มาจากภาษาละติน หมายถึง ไหล่ (Armpit) Albaldah  เป็นฤกษ์ในระบบดาวคู่ 3 ดวง มีความสว่างประมาณ 2.89 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 440 ปีแสง M8 - The Lagoon Nebula ลากูนเนบิวลา เป็นเนบิวลาสว่าง มีความสว่างประมาณ 5.8 มองเห็นได้ด้วยกล้องสองตา M22 - Globular Cluster เป็นกระจุกดาวทรงกลม มีความสว่างประมาณ 5.1 มองเห็นได้ด้วยกล้องสองตาM24 - Open Cluster เป็นกระจุกดาวเปิด มีความสว่างประมาณ 4.5 พอมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า M25 - Open Cluster เป็นกระจุกดาวเปิด มีความสว่างประมาณ 4.6 พอมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า




                กลุ่มดาวมกร หรือ กลุ่มดาวแพะทะเล เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่อยู่ถัดจากกลุ่มดาวคนยิงธนูไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยดาวฤกษ์เรียงตัวอย่างน้อย 9 ดวง เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านโค้ง มองเห็นได้ไม่ชัดเจน ดวงอาทิตย์จะโคจรผ่านกลุ่มดาวมกรระหว่างวันที่ 21 มกราคม ถึง 16 กุมภาพันธ์ กลุ่มดาวมกรจะอยู่เหนือขอบฟ้า ตั้งแต่ขึ้นถึงลับขอบฟ้านานประมาณ 10 ชั่วโมง





                กลุ่ม ดาวคนแบกหม้อน้ำ เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่อยู่ทางซีกฟ้าด้านใต้ อยู่ถัดจากกลุ่มดาวมกรไปทางทิศตะวันออก ประกอบไปด้วยดาวฤกษ์แสงริบหรี่อย่างน้อย 13 ดวงมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ดวงอาทิตย์จะผ่านกลุ่มดาวนี้ระหว่างวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ถึง 13 มีนาคมปรากฏอยู่บนท้องฟ้านานประมาณ 10 ชั่วโมง
กลุ่ม ดาวคนแบกหม้อน้ำ เป็นกลุ่มดาวอันดับที่สิบเอ็ดของกลุ่มดาวจักรราศีเป็นกลุ่มดาวที่ค่อนข้างหา ยาก เนื่องจากไม่มีดาวฤกษ์ดวงใด ในกลุ่มที่มีความสว่างปรากฏสว่างกว่า 2.9 เลย คนโบราณเห็นเป็นรูปคนแบกหม้อน้ำกำลังเทน้ำลงในแม่น้ำ Fluvius Aquarii ซึ่งหมายถึง The River of Aquarius ซึ่งสายน้ำจะไหล ผ่านกลุ่มดาวปลาทางใต้ (Piscis Austrinus) ที่มีดาวฤกษ์สุกสว่างคือ ดาวโฟมาลออท (Fomalhaut) ขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้าประมาณเที่ยงคืนของปลายเดือนสิงหาคม ต้นเดือนกันยายน มีดาวที่สำคัญ ดังนี้ Sadalmelik เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างประมาณ 2.96 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 756 ปีแสง อยู่ในตำแหน่งไหล่ขวาของคนแบกหม้อน้ำ ชื่อดาว มาจากภาษาอารบิก หมายถึง ดาวโชคดีของกษัตริย์ (the Lucky Stats of the King) Sadalsuud เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างประมาณ 2.91 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 612 ปีแสง อยู่ในตำแหน่งไหล่ซ้าย ของคนแบกหม้อน้ำ ชื่อดาว มาจากภาษาอารบิก หมายถึง โชคดีที่สุดของความโชคดี (the Luckiest of the Lucky) NGC7293 - The Helix Nebula เป็นเนบิวลาดวงดาว (Planetary Nebula) ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ของเราที่สุดมีความสว่างประมาณ 6 มองเห็นได้ด้วยกล้องสองตาโดยจะมีขนาดราวเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์ ห่างจากโลกประมาณ 300 ปีแสง


 
  กลุ่มดาวปลาคู่ เป็นกลุ่มดาวที่อยู่ทางเหนือของเส้นศูนย์สูตรฟ้า ปลาตัวหนึ่งอยู่ถัดจากสี่เหลี่ยมของกลุ่มดาวม้ามีปีกไปทางใต้ อีกตัวหนึ่งอยู่ถัดไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยดาวฤกษ์แสงริบหรี่อย่างน้อย 15 ดวง ดวงที่ 1 ถึง 6 เป็นปลาตัวแรก และ ดวงที่ 14 ถึง 15 เป็นปลาตัวที่ 2 ดวงอาทิตย์จะผ่านกลุ่มดาวนี้ระหว่างวันที่ 13 มีนาคม ถึง 19 เมษายน ดวงอาทิตย์จะอยู่บนเส้นศูนย์สูตรฟ้าในวันที่ 21 มีนาคม ซึ่งอยู่ในกลุ่มดาวปลาคู่ วันนี้จะเป็นวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงจุดตะวันออกพอดี และ ตกตรงจุดตะวันตกพอดี เรียกว่า วันอิควินอกซ์ ( EQUINOX ) ซึ่งกลางวันจะยาวนานเท่ากับกลางคืน กลุ่มดาวปลาคู่จะปรากฏอยู่บนฟ้านานราว 9 ชั่วโมง